เอนก เปิดงานวันคล้ายวันสถาปนา 63 ปี วช. ย้ำชีวิตคือโอกาส เชื่อมั่นงานวิจัยและพัฒนาต่อเนื่อง พาไทยถึงเป้ามีรายได้สูง

Last updated: 27 ต.ค. 2565  |  237 จำนวนผู้เข้าชม  | 

เอนก เปิดงานวันคล้ายวันสถาปนา 63 ปี วช.  ย้ำชีวิตคือโอกาส เชื่อมั่นงานวิจัยและพัฒนาต่อเนื่อง พาไทยถึงเป้ามีรายได้สูง

 

เมื่อวันที่ วันที่ 25 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดงาน “วันคล้ายวันสถาปนา วช. ครบรอบ 63 ปี” เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ประโยชน์จากการวิจัยและนวัตกรรมเห็นถึงความสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนา นำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ  ในโอกาสครบรอบ 63 ปีนี้ วช. ได้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 - 28 ตุลาคม 2565 ณ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ โดยมีศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน



ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ชีวิตคือโอกาส” ว่า การที่เรามองว่าชีวิตคือปัญหาหรือเป็นโอกาสนั้น ไม่ใช่เรื่องของข้อเท็จจริงเพียงอย่างเดียว แต่ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของการปรุงแต่งทางอารมณ์ว่าจะใช้ความคิดเห็นส่วนตัวมาปรุงแต่งอย่างไรให้เห็นว่าเป็นโอกาสหรือเป็นปัญหา ซึ่งปัจจุบันมีการพูดกันมากว่า เราจะสร้างคนไทยให้เป็นคนที่มีทักษะอย่างไร โดยในระดับอุดมศึกษาจะพูดถึงการผลิตบัณฑิตที่ไม่ใช่มีแค่ความรู้อย่างเดียว แต่ต้องมีทักษะด้วยหรือที่เรียกกันว่า ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21


และทักษะในการเห็นชีวิตคือโอกาส เป็นทักษะที่สำคัญมากและควรจะต้องสร้างวิทยาศาสตร์ ซึ่งเดิมเน้นว่าการคิดที่ดีที่สุดคือการคิดที่ไม่ใช้อารมณ์ แต่โดยหลักความเป็นจริงแล้วการคิดจะมีอารมณ์เข้ามาเป็นส่วนประกอบทั้งสิ้น ซึ่งหากมีอารมณ์ที่เหมาะสม เห็นว่าคือโอกาส จะทำให้สามารถคิด วิเคราะห์แบบไม่มีปัญหา ทำให้เกิดกำลังใจ ดังนั้นทักษะเกี่ยวกับชีวิตจึงสำคัญที่สุด ซึ่งเราควรจะต้องมีทักษะในการที่จะเห็นชีวิตการงานคือโอกาส ซึ่งในทางจิตวิทยาเขาเรียก Positive Thinking ด้วย”


คนทั่วไปอาจจะคิดในแง่ลบว่าประเทศไทยมีปัญหา สู้ประเทศที่พัฒนาแล้วไม่ได้ แต่ ในช่วง 63 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ขึ้นมาก็มีการพัฒนามาโดยตลอด ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก จากประเทศที่ยากจนมาสู่ประเทศรายได้ปานกลาง และขั้นต่อไปจะเรียกว่าประเทศรายได้สูง เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว แสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ โดยในส่วนของงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากที่เคยนำเข้าความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ปัจจุบันไทยสามารถส่งออกวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปต่างประเทศได้แล้ว และได้รับการยอมรับจากประเทศเพื่อนบ้าน ถึงความเจริญก้าวหน้าโดยเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์ และ วิทยาศาสตร์การแพทย์ รวมทั้งด้านการเกษตร ซึ่งเราควรที่จะเชื่อมั่นในตัวเอง และจะต้องมียุทธศาสตร์ ในการเอาชนะประเทศที่พร้อมมากกว่าเราในหลายๆ ด้าน โดยประเทศไทยเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาและกำลังจะพัฒนาแล้วในอีก 10 กว่าปีข้างหน้าตามแผนที่วางไว้ เราจึงต้องพยายามดำเนินการให้บรรลุความสำเร็จนั้นให้ได้ ทั้งนี้ในส่วนของการปฏิรูปการอุดมศึกษา สิ่งที่คิดว่าเรายังขาด ก็คือ การปฏิรูปอุดมศึกษาที่จะสร้างทักษะด้วยการเห็นชีวิตคือโอกาส หรือ positive thinking และการทำเรื่องความเชี่ยวชาญ (expertise) ที่ผสมผสานภูมิปัญญา( wisdom ) ซึ่งการปฏิรูปอุดมศึกษาที่ผ่านมาจะเน้นเรื่องความรู้ ความเชี่ยวชาญเป็นหลักส่งผลให้ได้คนที่มีความรู้แต่ขาดหลักคิด และสุดท้ายจะต้องปลูกฝังความเชื่อและความศรัทธา ให้กับบรรดานักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย และนักวิชาการ ซึ่งล้วนแต่ต้องการมุมมองที่จะมองให้เห็นว่าชีวิตคือโอกาส ภูมิใจในสิ่งที่ทำ และใช้โอกาสนี้ต่อไปให้ดีที่สุด


 

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ  เปิดเผยว่า "หัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเพื่อก้าวไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นกลไกสำคัญประการหนึ่งที่ช่วยวางรากฐานและสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์ความรู้และนวัตกรรมเพื่อให้สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในเชิงธุรกิจ และการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ ในทุกมิติตลอด 63 ปีที่ผ่านมา วช. ได้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการวิจัยของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ปีนี้จึงจัดขึ้นภายใต้แนวคิด 63 ปี วช. มุ่งสู่สังคมอุดมปัญญา พัฒนาไทยด้วยวิจัยและนวัตกรรม ซึ่งวช. ยังคงให้ความสำคัญกับกิจกรรมส่งเสริมและเผยแพร่ความก้าวหน้าของงานวิจัยของไทย การนำเทคโนโลยีไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ผู้เข้าร่วมงาน


โดยกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย ภาคการประชุมสัมมนาในประเด็นสำคัญเพื่อการพัฒนาประเทศด้วยวิจัยและนวัตกรรม ซึ่งเป็นงานวิจัยเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจสร้างคุณค่าและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ งานวิจัยเพื่อยกระดับสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน งานวิจัยเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาชุมชน การฝึกอบรมถ่ายทอดความรู้ให้แก่ประชาชนเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เช่น พื้นฐานการปลูกผักในดินและการประยุกต์สู่การปลูกผักในเมือง การแปรรูปและเพิ่มมูลค่าผลผลิตจากโครงการปลูกผักในเมือง ระบบบำบัดน้ำเสียชนิดบึงประดิษฐ์สำหรับบ้านพักอาศัย และในส่วนของภาคนิทรรศการขอเชิญประชาชนและผู้สนใจ ร่วม ชิม ช็อป เพลิน เดินตลาดงานวิจัย ซึ่งจะมีนิทรรศการให้ความรู้และผลิตภัณฑ์จากงานวิจัยมาแสดงและจำหน่ายให้กับผู้ที่มาร่วมงาน เช่น ผลิตภัณฑ์พืช ผัก ผลไม้ ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป ผลิตภัณฑ์ชีวภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ขอเชิญชวนประชาชน และผู้สนใจเข้าร่วมชมงานได้จนถึงวันที่ 28 ตุลาคมนี้ ณ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ จตุจักร กรุงเทพมหานคร

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้