หอการค้าไทย รวมพลังหอการค้าและเครือข่ายทั่วประเทศ ประกาศจุดยืนขับเคลื่อนธุรกิจยั่งยืนด้วยหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน

Last updated: 11 ก.พ. 2564  |  323 จำนวนผู้เข้าชม  | 

หอการค้าไทย รวมพลังหอการค้าและเครือข่ายทั่วประเทศ ประกาศจุดยืนขับเคลื่อนธุรกิจยั่งยืนด้วยหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน

หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จัดเสวนาเรื่อง“รวมพลังหอการค้า ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนไทย อย่างยั่งยืน”ประกาศเจตนารมณ์ขับเคลื่อนหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (CircularEconomy) ผ่านเครือข่ายหอการค้าจังหวัดฯและกลุ่มผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่ หรือ Young Entrepreneur Chamberof Commerce (YEC) ทั่วประเทศ มุ่งสร้างโมเดลธุรกิจยั่งยืนด้วยการลดใช้ทรัพยากร จัดการของเสียอย่างครบวรจรและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยมีกลยุทธ์สำคัญตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ได้แก่ 1)การออกแบบสินค้าให้เกิดการนำมาใช้ซ้ำหรือใช้ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2) ลดปริมาณของเสียหรือให้เป็นศูนย์3) ใช้วัตถุดิบที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และ 4)มีระบบบริหารจัดการของเสียที่มีประสิทธิภาพอย่างครบวงจร ทั้งนี้ในแผนงานปี 2564จะเน้นดำเนินการที่ภาคธุรกิจการค้าและบริการในจังหวัดชายฝั่งทะเลกว่า23 จังหวัด เพื่อช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเลรวมทั้งส่งเสริมธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ ให้กับผู้ประกอบการ


นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงความสำคัญของเศรษฐกิจหมุนเวียนต่อภาคธุรกิจว่า“การมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวนำมาซึ่งปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น ความเหลื่อมล้ำ ภัยแล้ง น้ำท่วมขยะล้นเมือง และสุดท้ายปัญหาเหล่านี้จะกลับมากระทบต่อธุรกิจสำหรับหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นเรื่องของการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ให้คุ้มค่าทางเศรษฐกิจจึงมีส่วนสำคัญในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน หอการค้าฯจึงมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนผ่านเครือข่ายสมาชิกซึ่งดำเนินธุรกิจการค้าและบริการใน 3 ห่วงโซ่เศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่การค้าและการลงทุน การเกษตรและอาหาร และการท่องเที่ยวและบริการซึ่งในปัจจุบัน ทางหอการค้าฯ มีเครือข่ายสมาชิกทั่วประเทศกว่า 100,000 ราย ประกอบด้วยผู้ประกอบการไทยและต่างชาติซึ่งพร้อมจะดำเนินงานร่วมกับทุกภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน รวมทั้งภาคประชาสังคมรวมทั้งจะนำโครงการต้นแบบขององค์กรต่าง ๆมาปรับใช้ตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ต่อไป”

“รัฐบาลได้ประกาศนโยบายโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG หรือ Bio-Circular-Green Economy โดยผมได้รับแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการบริหาร BCGและดูแลด้านการท่องเที่ยว เชื่อว่านอกจาก Circular Economy จะช่วยลดผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมแล้วยังเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ ด้วยจึงยินดีอย่างยิ่งที่จะตอบรับภาครัฐในการขับเคลื่อนนโยบายนี้ในภาคเอกชนด้วยเช่นกัน” นายกลินท์ กล่าวเพิ่มเติม


ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนหอการค้าไทย กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจรูปแบบเก่า หรือ LinearEconomy เป็นการนำทรัพยากรมาผลิต เกิดของเสียแล้วทิ้งทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมตามมา จึงเกิดรูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบใหม่คือ เศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economyซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจที่คำนึงถึงคุณค่าของทรัพยากรตลอดช่วงชีวิตของผลิตภัณฑ์ รวมถึงการนำกลับมาใช้ซ้ำ หรือใช้ใหม่ให้มีประสิทธิภาพโดยมีกลยุทธ์สำคัญ คือ การออกแบบสินค้าให้เกิดการนำมาใช้ซ้ำหรือใช้ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการบริหารจัดการของเสียอย่างเป็นระบบครบวงจร ทำให้การดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม สามารถช่วยลดก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของโลกในขณะนี้

ในปีที่ผ่านมา คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน หอการค้าฯได้จัด “Circular Economy Workshop” ขึ้นเพื่อหาแนวทางการดำเนินงาน โดยมีตัวแทนจากภาคเอกชน อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยฯสมาคมธนาคารร่วมทั้งเครือข่ายของหอการค้าฯ เข้าร่วมนำเสนอความเห็น “จากการเวิร์กชอปพบว่าการขับเคลื่อนแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนควรเน้นที่ปลายน้ำของ Value Chain หรือภาคธุรกิจการค้าและบริการ ให้มีการบริหารจัดการของเสีย หรือ Waste Management ที่มีประสิทธิภาพ โดยเน้นที่ขยะเศษอาหารและพลาสติก ซึ่งเป็นประเภทขยะที่มีปริมาณมากโดยหอการค้าฯ ได้จัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนขึ้น ประกอบด้วยตัวแทนจากภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในกลุ่มสมาชิกฯอย่างเป็นรูปธรรม” ดร.ฮาราลด์ กล่าวเสริม

ด้านนายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ที่ปรึกษาคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน กล่าวว่าจากปริมาณขยะทั้งหมดในประเทศไทย 27.8 ล้านตันต่อปี มีสัดส่วนที่นำไปรีไซเคิลเพียงร้อยละ 31
ดังนั้นขยะที่อยู่นอกระบบจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาขยะทะเลที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางน้ำ
จากข้อมูลของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยหรือ TDRI พบว่ากว่าร้อยละ 80 ของขยะทะเลเกิดขึ้นจากกิจกรรมบนบกโดยที่มาของปัญหาคือพฤติกรรมของมนุษย์ การจัดการขยะตั้งแต่ต้นทางจึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้วัสดุได้หมุนเวียน กลับคืนมาในระบบเศรษฐกิจ และไม่หลุดรอดไปทำลายสิ่งแวดล้อมทางหอการค้าฯและคณะทำงานจึงร่วมมือกันขับเคลื่อนเรื่องการจัดการขยะให้เป็นวาระเริ่ม
ต้นที่สำคัญ โดยแผนงานในปี 2564 นี้ จะเน้นส่งเสริมภาคธุรกิจการค้าและบริการใน 23 จังหวัดชายฝั่งทะเล ซึ่งคาดหวังให้แต่ละจังหวัดมีโครงการต้นแบบอย่างน้อย 1 โครงการ และสามารถนำไปขยายผลภายในจังหวัดของตนต่อไป ทั้งนี้ เมื่อปีที่ผ่านมาหอการค้าฯ ยังได้ร่วมกับมูลนิธิชัยพัฒนา จัดทำหนังสือ
“เงินทองจากกองขยะ” หรือ Waste to Wealth ซึ่งเป็นชุดความรู้เรื่องการจัดการขยะตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนที่สามารถนำไปเป็นต้นแบบหรือต่อยอดประยุกต์ใช้ได้


นางสาวสลิลลา สีหพันธุ์ กรรมการ คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน (คณะทำงานจัดการขยะอาหาร) กล่าวว่า ประเทศไทยมีธุรกิจด้านการท่องเที่ยวและร้านอาหารจำนวนมากจึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับขยะเศษอาหารที่ยังไม่มีการจัดการที่ดีเพียงพอเนื่องจากขยะอาหารก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกและส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน “เราให้ความสำคัญเรื่องการให้ความรู้ ความเข้าใจ
และแบ่งปันวิธีการดำเนินงาน โดยเน้นผลดีที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจทั้งเรื่องการลดต้นทุน และการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ”นอกจากนี้ หัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในหอการค้าฯ คือ การสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการที่สนใจและมีpassion เดียวกัน ผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่เรียกว่า “Social Lab” หรือห้องปฏิบัติการทางสังคม “การทำ Social Lab เป็นกระบวนการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เรียนรู้และเข้าใจความเชื่อมโยงขององค์ประกอบต่าง ๆเพื่อเกิดการลงมือเปลี่ยนแปลงร่วมกัน โดยปีที่ผ่านมีผู้ประกอบการและกลุ่มผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่กว่า 80 คนเข้าร่วมโครงการและพร้อมจะนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนไปปรับใช้ในธุรกิจและชีวิตประจำวัน ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ และในปีนี้จะเดินหน้าสร้างการมีส่วนร่วมและสร้างความเข้มแข็งให้กับเครือข่ายต่อไป” นายกีรติ อัสสกุล กรรมการ คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนกล่าว

“ในฐานะที่หอการค้าฯ เป็นองค์กรเอกชนที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศเราจะเป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนผู้ประกอบการธุรกิจการค้าและบริการ ให้มีการดำเนินงานตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนควบคู่กับการสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายพร้อมทำให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมร่วมกับภาครัฐ เครือข่ายเอกชนอื่น ๆและประชาชน เราเชื่อว่าการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามหลักเศษฐกิจหมุนเวียนจะสำเร็จได้ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน” นายกลินท์ประกาศเจตนารมณ์ของคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนกล่าวทิ้งท้าย

คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน หอการค้าฯ ประกอบด้วย :
B.Grimm, SCG, Ocean Group, Tesco Lotus, Allied Metal, CP
Group, ไทยน้ำทิพย์, PTT, GC, Central Group, BITEC, สมาคมโรงแรม
และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้