Last updated: 17 ต.ค. 2563 | 730 จำนวนผู้เข้าชม |
องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ร่วมมือ องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ผ่านการจัดกิจกรรม การวิจัย และการจัดแสดงนิทรรศการ เพื่อสร้างความตระหนักด้านความหลากหลายทางชีวภาพและส่งเสริมให้ประชาชนทั่วไปพร้อมร่วมกันพัฒนาและก้าวต่อไปสู่ความมั่นคงทางธรรมชาติของประเทศในอนาคต ณ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี
ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กล่าวว่า “อพวช. เป็นหน่วยงานซึ่งมีหน้าที่ในการสร้างความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์ นอกจากการจัดแสดงนิทรรศการและกิจกรรมวิทยาศาสตร์แล้ว อีกหนึ่งภารกิจสำคัญของ อพวช. คืองานด้านการวิจัยและการสงวนรักษาสัตว์และพืชธรรมชาติอันเป็นคุณค่าของแผ่นดินและของโลก เพื่อการศึกษาเรียนรู้สืบไป
ปัจจุบันมีศูนย์บริหารคลังตัวอย่างทางธรรมชาติวิทยาและสัตว์สตัฟฟ์ (Taxidermy) ที่มีความพร้อมและสมบูรณ์มากที่สุดอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมา อพวช. ได้รับความร่วมมือจากองค์การสวนสัตว์ ฯ ในการดำเนินงานด้านการสตัฟฟ์สัตว์ด้วยเทคนิค Taxidermy มามากมาย
ได้แก่ การสตัฟฟ์สัตว์ขนาดใหญ่ เช่น ช้าง ยีราฟ หมีควาย เสือดำ เสือโคร่ง กวาง เพนกวิน พะยูน งูอนาคอนด้า ชิมแปนซี จระเข้ ม้าลาย รวมทั้งการซ่อมแซมสัตว์สตัฟฟ์และสัตว์ป่าสงวนของประเทศไทย ได้แก่ กระซู่ นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร และนกแต้วแล้วท้องดำ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการจัดแสดงนิทรรศการมากมายเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์สงวนสัตว์ป่าที่ลูกหลานคนไทยอาจจะไม่เคยได้เห็นแล้วผ่านสัตว์สตัฟฟ์ (Taxidermy)”
สำหรับผลงานที่น่าสนใจของทีมนัก Taxidermist อพวช. ที่ได้รับความร่วมมือและไว้วางใจจากองค์การสวนสัตว์ฯ คือ “โรหิสรัตน์” ละมั่งหลอดแก้วตัวแรกของโลก ซึ่งได้รับพระราชทานชื่อจาก พระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 เป็นสัญลักษณ์ของความพยายามในการอนุรักษ์ละมั่ง สัตว์ป่าสงวนของไทย โดยผลงานการสตัฟฟ์นี้ได้นำไปจัดแสดงที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว เพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้ ถือเป็นความภาคภูมิใจของกระบวนการวิจัยเพื่ออนุรักษ์สัตว์ป่าหายากของประเทศ
"ความร่วมมือมีมานานแล้ว เราร่วมมือกันในหลายๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นเรื่องการวิจัย ในเรื่องของสัตว์ในเรื่องของการอบรมเปลี่ยนบุคลากร วันนี้เรามาด้วยเรื่องของTaxidermyที่หลายคนยังไม่รู้จัก การที่เราสตัฟฟ์สัตว์เอาไว้ มีวัตถุประสงค์เพื่อจะช่วยกันอนุรักษ์สัตว์ที่เราเห็นวิ่งในสวนสัตว์ เมื่อสัตว์เหล่านั้นตายลง เด็กเยาวชนไทยเราก็มีโอกาสได้มาเรียนรู้จากซากสัตว์ที่เราได้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาเป็นเรื่องที่ดีความร่วมมือที่ดี สวนสัตว์เองมีสัตว์หลายชนิดที่ได้ดูแลอยู่ เมื่อสัตว์นั้นตายลงโอกาสที่พวกเราจะได้มาเรียนรู้กันก็ไม่มีถ้าเราไม่ได้มีกิจกรรม Taxidermy ดีใจที่จะได้เห็นความก้าวหน้าของวงการTaxidermy ที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย"
นายอภิเดช สิงหเสนี รองผู้อำนวยการสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ กล่าวว่า “องค์การสวนสัตว์ฯ มีภารกิจหน้าที่ดำเนินการบริหารจัดการทางด้านทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลายของประเทศให้อยู่คู่กับสังคมไทย โดยการสงวน อนุรักษ์ ฟื้นฟู และจัดการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน รวมทั้งให้ประชาชนได้มีการดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความสุขภายใต้คุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดี
ที่ผ่านมาองค์การสวนสัตว์ฯ และ อพวช. ได้ร่วมมือกันในโครงการวิจัยอยู่หลายโครงการ นอกจากนั้น ยังได้รับความร่วมมือด้าน Taxidermy ด้วยการส่งซากสัตว์ที่เสียชีวิตแล้ว จากสวนสัตว์ดุสิต สวนสัตว์เปิดเขาเขียว และสวนสัตว์โคราช
มาให้ อพวช. ช่วยดำเนินการสตัฟฟ์สัตว์ด้วยเทคนิค Taxidermy แล้วนำกลับมาจัดแสดงที่สวนสัตว์ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้ศึกษาเรียนรู้อย่างใกล้ชิด รวมทั้งเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาวิจัยของนักธรรมชาติวิทยาอีกด้วย
"โดยภาระกิจแล้วสวนสัตว์เป็นแหล่งรวบรวมสัตว์นานาชนิดทั้งในประเทศไทยและทั่วทุกมุมโลก โดยสัตว์ที่อยู่ในสวนสัตว์เป็นตัวแทนในระบบนิเวศน์วิทยาที่จะนำมาให้ความรู้กับประชาชนถือเป็นทรัพย์สมบัติที่มีค่า
แม้จะสิ้นชีวิตไปแล้ว เราก็ยังถือว่าคุณค่าของสัตว์ที่ตายไปแล้ว ควรจะได้นำมาใช้ประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาในเชิงวิทยาศาสตร์หลายๆ ด้าน แม้กระทั่งนิติวิทยาศาสตร์เรื่องของ Taxidermy ก็สามารถที่่เอาไปเชื่อมโยงกับการศึกษาซากสัตว์ที่มีและที่ตายไปแล้ว ชนิดต่างๆ ช่วงอายุต่างๆ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้"
สำหรับโครงการที่จะพัฒนากันต่อไปในอนาคต ทั้งสองหน่วยงานจะร่วมผนึกกำลังส่งเสริมกันใน ด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะด้าน Taxidermy
ถือเป็นภารกิจหลักในงานด้านการอนุรักษ์ งานวิจัย และด้านการศึกษา เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้อันทรงคุณค่า ซึ่งความร่วมมือในครั้งต่อ ๆ ไป จะร่วมมือกันพัฒนาด้านความหลากหลายทางชีวภาพให้เยาวชนรุ่นหลังได้เรียนรู้ต่อไปในอนาคต