Last updated: 4 พ.ย. 2562 | 643 จำนวนผู้เข้าชม |
“น้อง.พี่.ที่รัก” ภาพยนตร์ไทยเต็มตัวเรื่องแรกของหนุ่ม นิชคุณ หรเวชกุล ที่ค่าย “จีดีเอช” ได้นักแสดงสุดฮอตแถวหน้าของเมืองไทยมาถ่ายทอดเรื่องราวความสนุกสนานปนสาระ ไม่ว่าจะเป็น ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ และ ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์ อีกหนึ่งผลงานกำกับของ บอล-วิทยา ทองอยู่ยง ซึ่งงานนี้บอกเลยว่าไม่ธรรมดา โดยเฉพาะเรื่องภาษาที่ นิชคุณ ต้องทำการบ้านอย่างหนัก เขาจะมีวิธีรับมือกับความท้าทายใหม่นี้อย่างไร “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” ได้โอกาสพิเศษ เจาะลึกเบื้องหลังการทำงานของหนุ่มนิชคุณมาฝากกัน
ภาพยนตร์ไทยเต็มตัวเรื่องแรก
ตื่นเต้นครับ เพราะเรื่อง “น้อง.พี่.ที่รัก” เป็นหนังเต็มตัวเรื่องแรกของผมในเมืองไทย เท่าที่ผมได้ดูตัวอย่างของหนัง ผมว่าคนดูน่าจะชอบนะ เพราะว่าเนื้อเรื่องของหนังดีอยู่แล้ว แต่อยู่ที่ว่าพวกเราแสดงและส่งมันออกมาได้ดีขนาดไหนมากกว่า ก็ต้องไปติดตามครับผมว่าไม่ใช่หนังที่ดูแล้วตลกหัวเราะกลับบ้าน แต่น่าจะได้ความคิดและความประทับใจอะไรมากกว่าที่จะเป็นหนังตลก ผมไม่อยากเรียกว่าหนังตลก
ทำไมถึงรับเล่นหนังเรื่องนี้
วันแรกที่พี่เขาติดต่อมา ยังไม่มีบท แค่มีเรื่องย่อสั้นๆ เกี่ยวกับอะไรยังไง แล้วก็เป็นหนังของ “จีดีเอช” ผมก็เป็นแฟนหนัง “จีดีเอช” อยู่แล้ว ก็น่าสนใจดีครับ แล้วก็มีพี่ซันนี่ กับน้องญาญ่า แสดงด้วยเลยตัดสินใจแบบไม่ต้องดูบทก็ได้มั้ง (หัวเราะร่วน) คือก่อนอื่นเลย เราเชื่อใจ “จีดีเอช” แล้วพอได้มาอ่านบทก็ยิ่งชอบ เรื่องนี้ไม่เหมือนหนังเรื่องอื่นๆ มีอะไรให้คิดเยอะ คือหนังมีหลายแบบนะ หนังที่ทำให้เรากลัว เศร้า แต่ส่วนน้อยที่จะทำให้เราดูไปแล้วรู้สึกตามว่า เออมันเหมือนกับชีวิตเรานะเหมือนกับพี่กับน้องเรานะ เรื่องนี้จะโชว์ให้เห็นถึงความสำคัญของครอบครัวด้วย การที่เรารักคนคนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเป็นคนรัก คนที่เป็นพี่เป็นน้องเราก็ควรที่จะรักด้วย
ช็อตไหนของหนังที่โดนในชีวิตจริง
จริงๆ ในหนังเรื่องนี้ผมเล่นเป็น โมจิ ซึ่งเล่นเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น ส่วนผมเองก็ลูกครึ่งจีน (หัวเราะ) ก็เหมือนนิดหนึ่ง(หรือเปล่า) แล้วโมจิ เป็นคนที่ค่อนข้างเรียบร้อย ซื่อตรง ซื่อสัตย์ ซึ่งผมเองก็ไม่ถึงขนาดเหมือนโมจิเลย แต่จะมีมุมหนึ่งที่ใกล้เคียง คือ สะอาด เรียบร้อย แล้วก็มุมที่ฟังภาษาไทยไม่ค่อยรู้เรื่อง (หัวเราะ) พูดผิด พูดเพี้ยน ก็ถือว่ามีมุมที่คล้ายกันเยอะครับ จริงๆ ตอนที่เขาเขียนบทก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นใครเล่น ตอนแรกโอเค พี่ซันนี่ น้องญาญ่า คู่นี่แหละพี่น้องแน่นอน แล้วใครจะมาเป็นที่รักของน้อง อืม (ยิ้ม)
ทำการบ้าน
แอ๊กติ้งก็มีผิดอยู่เยอะเหมือนกันครับ แต่ที่ผิดเยอะกว่าก็คือการอ่านบทเป็นภาษาไทย และนี่ก็เป็นเรื่องที่ 2 ของผมเอง ผมเองก็ไม่ได้กลับมาไทยบ่อยด้วย เวลาอยู่เกาหลีใต้ก็จะใช้ภาษาไทยเฉพาะเวลาโทร.หาพ่อแม่พี่น้องที่เมืองไทย พอมาเล่นเรื่องนี้ ก็ต้องพยายามท่องให้ติดปาก แต่ก็ได้ไปเวิร์กช็อปประมาณอาทิตย์กว่า ถือว่าช่วยได้ครับได้ปรับตัวกันไป
ในวันเวิร์กช็อป
สนุกมากครับ ตื่นเต้นมาก แต่ผมรู้จักญาญ่าอยู่แล้ว เพราะเคยถ่ายโฆษณาด้วยกัน พี่ซันนี่ก็เคยเจอกันนะครับตอนเล่น “รัก 7 ปีดี 7 หน” แต่คนละตอน และก็เคยทานข้าวด้วยกันตอนเล่นหนังแต่ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ เพราะตอนนั้นที่เห็นพี่ซันนี่ผมเห็นเขาเงียบมาก เรียบร้อยสุภาพ (หัวเราะ) แล้วก็ทักทายกัน สวัสดีครับ ชอบทำเสียงหล่อ (หัวเราะ) แล้วก็เข้าไปนั่งทานข้าว พอกลับก็ สวัสดีครับ แล้วก็กลับไป ลุคแรกที่เห็นคือเรียบร้อยดีนะ เป็นคนที่สุภาพเรียบร้อยดีมาก แต่พอวันที่มาเวิร์กช็อป เดินผ่านมา ผมซันนี่นะ ก็มีแกล้งๆ บ้างตอนแรกยังเกร็งๆ อยู่ แต่ในกองเขาจะชอบแกล้งญาญ่า
ละลายพฤติกรรมกับนักแสดงร่วม
ก็จะกวนๆ กันทั้ง 3 คนนะ แต่ละคนมีมุมกวน มุมน่ารักของตัวเองไป จะทำยังไงให้กองถ่ายสนุกสนานไม่ซีเรียสตลอดเวลา เพราะมีบางทีที่คนรอบตัวเราก็มีเครียด เราก็พยายามปล่อยมุข แกล้งกันเอง เพื่อให้บรรยากาศในกองถ่ายแฮปปี้สดใสขึ้น
ภาษาในการสื่อสาร
เวลาอยู่ในกอง ผมกับน้องญาญ่าจะพูดคุยภาษาอังกฤษกันพี่ซันนี่ก็จะอืมๆ เออๆ (หัวเราะร่วน) แต่เขาฟังรู้เรื่องนะ แต่เขาไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษกับพวกเรา จะพูดภาษาไทยกลับมา การสื่อสารจริงๆ ก็มีบางโมเม้นท์ที่แบบ แปลว่าอะไรนะ ญาญ่าก็หันมาถามว่าแปลว่าอะไร เธอไม่รู้ ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ (หัวเราะร่วน) ก็มีมุมอย่างนั้นบ้าง หรืออย่างตอนที่เรียนกับครูเงาะ (รสสุคนธ์ กองเกตุ) แล้วครูพูดอะไรออกมาผมจำไม่ได้แล้ว ผมกับญาญ่าหันหน้ามามองกัน “ยูเข้าใจไหม” แล้วก็ ครูแปลว่าอะไรครับ ก็ถามไปตรงนั้น หรืออย่างเวลาถ่ายเสร็จก็อาจจะมีเสียงแทรก ผมก็ต้องไปอัดเสียงทับ บางทีก็พูดเพี้ยนลิ้นพันกัน แล้วพอเจอญาญ่าก็จะบอกว่านี่ต้องแก้เสียงเยอะเลย ญาญ่าก็บอกว่าหนูก็เหมือนกันค่ะ (หัวเราะร่วน) เป็น 2 คนที่พูดภาษาไทยไม่ชัด เป็นอะไรที่สนุกๆ น่ารักดีครับ
รับส่งอารมณ์กับซันนี่และญาญ่า
เกร็งครับ ไม่อยากทำให้เขาเสียสมาธิ หรือเสียอารมณ์ เสียอินเนอร์ หรือฟีลตอนนั้นไปเพราะเรา ฉะนั้นพอขาเริ่มส่งมา ผมก็ต้องรู้สึกให้ได้ แล้วแสดงมันออกไปให้เป็นแบบธรรมชาติมากที่สุด โดยที่เราไม่ต้องคิดว่าเราต้องแสดงหรือแอ๊กติ้ง แต่ตอนเล่นเขาเก่งมากทั้งคู่เขาส่งมาให้ผมแล้วผมแบบเล่นต่อไปได้เลย จริงๆ ผมว่า ไม่ว่าจะกับใคร พอเจอการส่งอารมณ์แบบนี้ ซึ่งเป็นการส่งมาแบบดีมากๆ คือตอนแรกก็เซอร์ไพรส์นะ เฮ้ยเราเล่นได้ถึงขั้นนี้แล้วเหรอ แต่ไม่ใช่ เพราะเขาเก่ง เขาส่งมาแล้วทำให้คนเล่นด้วยสามารถเล่นต่อเนื่องได้ทันที ส่งมายังไงก็ต้องรู้สึกอย่างงั้นอยู่ดี คือเขาส่งแรงมาก ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี ผมก็ได้เรียนรู้จากเขาทั้ง 2 คนเยอะมาก
ปรับจูนความเป็นคู่รักญาญ่า
ตอนที่เวิร์กช็อปกันวันแรก ก็ยืนมองหน้ากัน แล้วเขาให้คำมาคำหนึ่ง ก็ยืนจ้องหน้ากันไปแล้วบอกว่า พูดเมื่อไหร่ก็ได้ และให้พูดพร้อมกัน โดยที่ไม่ต้องส่งซิกไม่ต้องอะไร แล้วอยู่ดีๆ ผมกับญาญ่าก็พูดออกมาเลยพร้อมกัน และส่วนใหญ่พูดออกมาพร้อมกันหมด เกือบทุกครั้งเลยที่ครูบอก หรืออย่างตอนให้ยกมือขวาขึ้น ยืนๆ จ้องหน้ากันไป อยู่ๆ ก็ยกขึ้นมาพร้อมกัน ผมว่าการจ้องตากันเป็นการสื่อสารกันที่ดีที่สุด การมองตา เวลาคุยกับคนก็สำคัญ ฉะนั้นในเรื่องก็ต้องรู้สึกว่าคนนี้คือคนรักของเรา คนที่เราต้องปกป้อง คนที่เราจะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้เขาได้
อะไรทำให้เราคลิกและเข้าถึงกันได้ง่าย
อาจจะเพราะเราสื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษ การที่เราไปต่างประเทศแล้วเราพูดภาษาเดียวกันได้มันทำให้เราแบบ คืออย่างผมอยู่เกาหลีใต้ก็เหมือนกัน เวลาเจอเพื่อนที่พูดภาษาอังกฤษได้ วันสองวันนี่เราคลิกกันเลยนะ เป็นเพื่อนซี้กันได้เลย ฉะนั้นผมว่าการที่เราพูดภาษาเดียวกันด้วย และพูดไทยไม่ชัดคล้ายๆ กันด้วย ก็เลยมีจุดเชื่อมโยงตรงนี้มากกว่า แล้วน้องเขา Nice ใครๆ เห็นก็รัก ผมก็แบบทำงานด้วยแล้วมีความสุข โชคดีที่ได้ทำงานร่วมกับทั้งพี่ซันนี่และน้องญาญ่า หรือไม่ว่าจะเป็นพี่บอล-วิทยา ทองอยู่ยอดพี่เก้ง ทีมงานทุกๆ คน เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน ก็คาดหวังแหละครับว่าอยากให้หนังเรื่องนี้ทำรายได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่ว่าถึงจะดีหรือจะร้ายยังไง การที่เราได้โคจรมาเจอกับคนกลุ่มนี้ ก็เป็นอะไรที่แฮปปี้มากแล้วครับ
บรรยากาศการถ่ายทำ
ก็บินไปบินมาครับ บินมาสองอาทิตย์ ก็บินกลับไปทำงานที่เกาหลีใต้ หรือไม่ก็ญี่ปุ่น จริงๆ ก็ไม่เหนื่อยขนาดนั้น ภาษาที่ต้องพูดในเรื่องก็มีพูดภาษาญี่ปุ่นด้วย ประมาณนี้ครับ
คนรักในเรื่องกับชีวิตจริง
ในเรื่องคือเรารักตรงที่เขาเป็นคนที่มีความเพอร์เฟกท์ เรียบร้อยเรียนเก่ง เล่นเบสบอลเก่ง ซึ่งเหมือนผม เราเป็นแบบเพอร์เฟกท์แมทช์ ไม่นานก็เลยเป็นแฟนกัน (แล้วถ้าเป็นตัวนิชคุณเอง?) ผมเป็นคนชอบคนเรียบร้อยนะ ไม่ใช่กิริยานะ คือกิริยาจะห้าวๆ ก็ได้ แต่รักที่มีระเบียบ รักสะอาดนิดหนึ่ง ชอบเก็บของ มีเสน่ห์รอบตัวทุกทิศทุกทางเป็นได้ทุกอย่าง ที่ผมชอบแบบนี้ก็เพราะผมเป็นคนแบบนี้เหมือนกัน คือผมชอบเล่นกีฬา ผมหวานก็ได้ ผมจะดาร์คก็ได้ ชอบความเรียบร้อย รักความสะอาด
โปรเจกท์พิเศษในไทย
มีแน่นอนครับ กำลังคุยกันอยู่ แต่ยังบอกไม่ได้ว่ามีอะไร ก็น่าจะภายในปีนี้ ถ้าทุกอย่างลงตัว จะเริ่มถ่ายและเริ่มออกอากาศปีนี้ เป็นโปรเจกท์ค่อนข้างใหญ่ เป็นสิ่งที่ผมยังไม่เคยทำมาก่อนเลย ก็กำลังคุยกันอยู่ปรับตารางงานกัน แต่ว่าก็รอทุกอย่างลงตัว น่าจะได้เห็นกันช่วงเลยกลางปีไปแล้วครับ
ความสุขที่ได้ทำงานในบ้าน
รู้สึกดีมากครับ ดีใจที่ได้กลับมาเจอครอบครัว จริงๆ ผมอยู่เกาหลีใต้นานกว่าอยู่ไทย โตขึ้นมาอยู่เมืองไทย 10 ปี แต่อยู่ที่เกาหลีมา 12 ปีแล้ว จริงๆ ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าผมเป็นคนประเทศอะไร (หัวเราะร่วน) ผมเกิดที่อเมริกา มีสัญชาติไทยด้วย อยู่เมืองไทยได้แค่ 10 ปีไปอยู่ที่นิวซีแลนด์ อเมริกา พูดภาษาไทยก็ไม่ค่อยชัด แล้วตอนนี้ก็พูดภาษาอังกฤษได้ ไทยได้ เกาหลีใต้ได้ ในหัวตอนนี้มีหลายอย่างมาก ผมรู้สึกว่าเวลากลับมาเมืองไทยเหมือนรู้สึกกลับบ้านอีกครั้ง ไม่จำเป็นต้องคิดเลยว่าเราชอบเมืองไทยเพราะอะไร ช่วงนี้ได้มาทำงานที่เมืองไทยเยอะๆ นานๆ ได้มาเจอแฟนคลับ ได้ไปออกรายการทอล์กโชว์ของเมืองไทยที่ไม่ได้ออกมานานมากๆ มีแฟนคลับมานั่งข้างหน้าคอยหัวเราะ เชียร์เรา บรรยากาศแบบนี้ไม่ได้เห็นนานมากๆ ก็ไปออกมา 3 รายการแล้ว รู้สึกดีครับ รู้สึกเหมือนตอนปี 2007-2008 ที่ผมมาใหม่ๆ ได้ย้อนกลับไปโมเม้นท์นั้นอีกครั้ง เรามาไกลแล้วนะ
นิชคุณคนเดิมเพิ่มเติมคือประสบการณ์
จริงๆ ตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกว่าผมยังเป็นเด็กคนเดิมคนนั้นเมื่อ 10 ปีที่แล้วอยู่นะ แต่แค่ประสบการณ์เรามีมากกว่าเด็กคนนั้น และยังเป็นเด็กคนนั้นที่ยังอยากรู้อยากเห็น อยากจะรู้อะไรหลายๆ อย่างที่ยังไม่รู้ และทำไม่ได้ ก็คือคล้ายๆ คุณพ่อ คุณแม่ ที่ไม่อยากจะหยุดเรียนรู้ ไม่มีขอบเขต ไม่มีลิมิต
แฟนคลับรอรับและให้กำลังใจเสมอ
รู้สึกเสียดายเงินค่ารถของเขา (หัวเราะ) เป็นห่วงเขานะ และรู้สึกขอบคุณทุกครั้งที่มารับก็รู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่มาถึงประเทศไทย มีคนมารอรับ นั่นก็คือแฟนคลับผม เขาน่ารักนะ ไม่ได้ทำอะไรที่อันตราย วิ่งตามดึงกระชาก แต่เขาจะคอยอยู่ข้างๆ “คุณทานข้าวเยอะๆ นะ” “แล้วเจอกันนะ” อะไรประมาณนี้ ก็จะน่ารักเหมือนพี่น้อง เหมือนเขาก็โตมาพร้อมๆ เรา เขาเอ็นดูผม ไม่ใช่แบบกรี๊ดกร๊าดเป็นไอดอล จะออกแนวเอ็นดูมากกว่า และส่วนใหญ่ก็อายุมากกว่าผมนิดหนึ่ง เท่าๆ ผมด้วย น้อยกว่าผมก็มีบ้าง
ฝากถึง HOTTEST ชาวไทย
HOTTEST เมืองไทยไม่ว่าจะมาทำอะไร งานอะไร ไม่มีคำว่าแป๊ก หรือไม่มาซัพพอร์ต ไม่มาเชียร์ แล้วการมาแต่ละครั้งก็น่ารักมีมารยาท เชื่อฟัง อะไรห้ามก็ไม่ทำ อย่างตอนมาแสดงคอนเสิร์ตรวมก็ร้องเพลงตามได้ทุกวง ทำให้ผมภูมิใจว่า ต้องอย่างนี้สิ นี่คือประเทศไทยนะ ก็ขอบคุณมากๆ ครับ อย่างวงที่ออกมาใหม่ๆ จะมาประเทศไทยประเทศแรกเพราะผมคิดว่าประเทศไทยให้เสียงตอบรับที่ดีที่สุด เปิดใจ แล้วก็กรี๊ดให้ร้องให้ เต้นตามเต็มที่
สิ่งที่กลับมาเมืองไทยแล้วต้องทำขาดไม่ได้
ทานข้าวกะเพราไก่ไข่ดาว เพราะไม่มีที่ไหนอร่อยเท่าเมืองไทยครับ
เห็นช่วงนี้มีเวลาพักผ่อนเยอะขึ้น ล่าสุดไปหัวหิน
ใช่ครับ เป็นทีมของผมในกลุ่มของ 2PM เป็นมาร์เกตติ้งก็พาเขามาเที่ยวตอบแทน ในฐานะเจ้าบ้าน ก็เลยพาเขามาเที่ยวพักผ่อน
ความห่วงใยที่มีให้น้องสาวตลอดมา
ด้วยความที่เราเป็นพี่ชาย ก็จะมีความเหมือนตัวละครที่พี่ซันนี่เล่นนิดหนึ่งครับ เมื่อก่อนที่เขายังเด็กกว่านี้ หวงมากครับ คุยโทรศัพท์กับผู้ชายอยู่ ผมก็จะขอคุยด้วยทันที คุณเป็นใครครับ ชื่ออะไรครับ บ้านอยู่ไหนครับ คุยกับน้องทำไมครับ ก็หวงค่อนข้างมาก แต่ตอนนี้ก็โตๆ กันแล้ว ก็จะไปจับมือเขาอยู่จนแก่ก็ไม่ได้ใช่ไหมครับ ก็ต้องคอยอยู่ข้างๆ ซัพพอร์ตเขาไป
ฝากติดตามภาพยนตร์
หนังเรื่องนี้ “น้อง.พี่.ที่รัก” ผมว่าคนที่มาดูจะต้องเข้าใจแล้วก็รู้สึกตามได้ เพราะว่าเป็นหนังเกี่ยวกับชีวิตคนจริงๆ ไม่ใช่แบบว่าแฟนตาซี หรือหนังที่เอามาตลกอย่างเดียว เป็นหนังที่แบบคนดูแล้ว เออ ใช่เออเหมือนกันเลย มีมุมตลก ประทับใจ ซึ้ง หลายมุม ก็ฝากติดตามกันด้วนครับ วันที่ 10 พฤษภาคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์ สนุกแน่นอนครับ
8 มี.ค. 2567